ไทพาเก
5000 ชีวิต
ในพันล้านประชากรอินเดีย
โดย นวพล ลีนิน
คำนำ
งานเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการเดินทางลงพื้นที่รัฐอัสสัมประเทศอินดีย หากการเดินทางในครั้งนี้ คล้ายการไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่พลัดพรากกันมา พี่น้องที่พลัดพรากกันตั้งแต่เด็กพอจำความได้เลาๆ เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง สิ่งที่พอรื้อฟื้นขึ้นมาได้ เพื่อทบทวนความทรงจำหรือเรื่องราวในอดีต ในความเป็นพี่น้องย่อมมีความสัมพันธ์ด้วยต่างมีพ่อแม่เดียวกัน ซึ่งช่วงชีวิตคนคนหนึ่งคงไม่ยากนักที่จะทบทวนเรื่องราวในอดีต โดยเฉพาะเรื่องราวที่ทำร่วมกันมา อย่างน้อยญาติผู้ใหญ่หรือคนใกล้ชิดที่มีอายุอาจช่วยทบทวนเรื่องราวให้ได้บ้าง มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีชาติพันธุ์เป็นอัตตะลักษณ์ร่วม ในแต่ละกลุ่มสังคมย่อมมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน นับจากกลุ่มเครือญาติสู่กลุ่มสังคมรัฐชาติ เรื่องราวของแต่ละกลุ่มชนบันทึก เป็นประวัติศาสตร์ในแบบเรียน หรือในงานวิชาการ เหตุปัจจัยหลายประการที่ทำให้กลุ่มคนในอดีตต้องอพยพโยกย้ายไปยังพื้นที่ต่างๆบนแผ่นดินโลก ทั้งภัยธรรมชาติและสงคราม การรุกรานระหว่างเผ่าพันธุ์ หรือการแสวงหาดินแดนใหม่อันเหมาะสมต่อการตั้งบ้านเมือง เมื่อกล่าวถึงกลุ่มชนฉานไตซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีบรรพบุรุษสายเดียวกับคนไทสยามในประเทศไทยนั้น ผู้สนใจสามารถศึกษาได้จากหลักฐานที่เก็บรวบรวมไว้ด้วยงานเอกสาร หากมีดินแดนสักแห่งหนึ่งที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวด้วยกลุ่มคน สังคม บ้านเรือน ภูมิปัญญา ดั่งตำราเรียนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ในความเป็นวิถีชีวิตของพี่น้องเผ่าไท ที่หมู่บ้านไทพาเกรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย คือสถานที่ดั่งที่กล่าวมาเป็นอีกที่หนึ่ง
บทเรียนทางประวัติศาสตร์อาจช่วยให้ผู้คนนำมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประเทศไทย มองย้อนจากปัจจุบันสู่เหตุการณ์ในยุคความรุ่งเรืองของอาณาจักรต่างๆแห่งชนเผ่าไทอันไกลโพ้น ตำนานที่กล่าวถึงอาณาจักรของกลุ่มชาติพันธุ์ไทมากมายที่รุ่งเรืองขึ้น แล้วเสื่อมสลายไปด้วยสาเหตุที่กล่าวไว้คล้ายๆกัน พงศาวดารหรือตำนานทางประวัติศาสตร์มักกล่าวถึงการรุกรานจากภายนอกประการหนึ่ง ประการที่มักกล่าวกันแต่เพียงผ่านไปแต่ไม่ลึกซึ้งนัก เมื่อมองในมุมมองของความสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ ความเสื่อมสลายที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยภายใน นั้นคือความขัดแย้งที่ไม่สามารถหาทางออกอื่นได้ นอกจากการใช้กำลังเข้าทำร้ายกันเอง ไทสยามหรือไทน้อยกับไทพาเกจึงเป็นดั่งพี่น้องที่พลัดพรากกันมา เพราะสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดจากความอ่อนแอของคนในครอบครัว พ่อแม่พี่น้องต่างกระจัดกระจายกัน เมื่อได้มาพบกันอีกครั้งความรู้สึกซาบซึ้งใจและอบอุ่นใจจึงเกิดขึ้น
การเดินทาง 10 วันในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย โดยโครงการสำรวจพืชสมุนไพรชาวไทพาเกของคณะมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ จังหวัดปราจีนบุรี คณะเดินทางรวม 5 ชีวิต มีหัวหน้าคณะคือ หมอต้อมหรือ ภญ.ดร.สุภาพร ปิติพร และคณะร่วมทางอีก 4 ท่านหมอนิตย์ นิตยา ภิญโญตระกูล ในฐานะคุณหมอช่างภาพรับเชิญ พี่วี วีระศักดิ์ จันทร์ส่องแสง นักเขียนสารคดี จากนิตยสารสารคดี คุณเหมียว เบญจวรรณ บุญเผือก หัวหน้าแผนกข้อมูลสาระสนเทศ และตัวผมเอง นวพล ลีนิน ซึ่งต้องขอขอบพระคุณสำหรับโอกาสในการเดินทางครั้งนี้ เพราะมันมากกว่าเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ จากสนามบินสุวรรณภูมิสู่กัลกัตต้า (k0lkata) ต่อเครื่องบิน อีกสองต่อไปสู่กูวาฮาตี(Guwahati)ซึ่งเป็นศูนย์กลางของรัฐอัสสัม ต่อไปยัง ดิบรูกาห์ (Dibrugarh) ก่อนเข้าสู่ดินแดนที่คล้ายกาลเวลาได้ชะลอความเป็นไทไว้ที่นั้น 10 วันแห่งการเดินทางมากพอที่ทำให้เห็นความสำคัญของคำว่าวัฒนธรรม ความเข้มแข็งของกลุ่มคนที่มีประชากรเพียงหลักพันอันน้อยนิด เมื่อเปรียบกับจำนวนประชากรเกือบ 30 ล้านคนในรัฐอัสสัม หรือกว่า 1พันล้านของในประเทศอินเดีย มิตรภาพอันอบอุ่นที่เราได้รับจากการต้อนรับในหมู่บ้านไทพาเกกว่า 5 หมู่บ้าน มันมากกว่าการเดินทางท่องเที่ยวพักนอนตามโรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยวโดยทั่วไป จากมุมเมืองอันคับคั่งด้วยผู้คนของอินเดีย เลี้ยวเข้าสู่หมู่ชนบท บ้านไม้ไผ่ยกพื้นผู้คน และการแต่งกายที่คล้ายชาวภาคเหนือหรือภาคอีสานของประเทศไทย สำเนียงคำพูดที่สามารถจับความได้ในบางคำ นั้นคือความประทับใจที่ผสมอยู่ด้วยความประหลาดใจว่านี้คือประเทศอินเดีย โอกาสที่ได้ดูงานแหล่งผลิตชาอันดับต้นๆของโลก คณะของเราได้เห็นมากกว่าดื่มชาต้อนรับ ด้วยการเดินเข้าไปชมในสวน เดินชมกระบวนการผลิตชาในโรงงาน ผู้คนที่ต้อนรับเราประหนึ่งญาติพี่น้อง คุณงี่ยอดและครอบครัวที่ให้การต้อนรับทั้งเรื่องที่พักและประสานงานการลงพื้นที่ พระปัญญาศิริในฉายาโฮรุภันเต(ภิกษุผู้ต่ำต้อย)และอีกหลายคน เรื่องราวการเดินทางพบเครือญาติพี่น้องไทพาเก กลุ่มคนที่รักษาความเป็นไทไว้ได้ในจำนวนเพียงหยิบมือ คือเรื่องราวหลังการเดินทางของผู้เขียน เพื่อใช้ประกอบรายงานนำเสนอมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ หรือจัดพิมพ์เผยแพร่ตามเห็นสมควร โดยโพสไว้ใน blogger Nawapol leenin เพื่อผู้สนใจติดตามอ่านได้ง่ายขึ้น
งานเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานการเดินทางลงพื้นที่รัฐอัสสัมประเทศอินดีย หากการเดินทางในครั้งนี้ คล้ายการไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่พลัดพรากกันมา พี่น้องที่พลัดพรากกันตั้งแต่เด็กพอจำความได้เลาๆ เมื่อได้มาพบกันอีกครั้ง สิ่งที่พอรื้อฟื้นขึ้นมาได้ เพื่อทบทวนความทรงจำหรือเรื่องราวในอดีต ในความเป็นพี่น้องย่อมมีความสัมพันธ์ด้วยต่างมีพ่อแม่เดียวกัน ซึ่งช่วงชีวิตคนคนหนึ่งคงไม่ยากนักที่จะทบทวนเรื่องราวในอดีต โดยเฉพาะเรื่องราวที่ทำร่วมกันมา อย่างน้อยญาติผู้ใหญ่หรือคนใกล้ชิดที่มีอายุอาจช่วยทบทวนเรื่องราวให้ได้บ้าง มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีชาติพันธุ์เป็นอัตตะลักษณ์ร่วม ในแต่ละกลุ่มสังคมย่อมมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน นับจากกลุ่มเครือญาติสู่กลุ่มสังคมรัฐชาติ เรื่องราวของแต่ละกลุ่มชนบันทึก เป็นประวัติศาสตร์ในแบบเรียน หรือในงานวิชาการ เหตุปัจจัยหลายประการที่ทำให้กลุ่มคนในอดีตต้องอพยพโยกย้ายไปยังพื้นที่ต่างๆบนแผ่นดินโลก ทั้งภัยธรรมชาติและสงคราม การรุกรานระหว่างเผ่าพันธุ์ หรือการแสวงหาดินแดนใหม่อันเหมาะสมต่อการตั้งบ้านเมือง เมื่อกล่าวถึงกลุ่มชนฉานไตซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีบรรพบุรุษสายเดียวกับคนไทสยามในประเทศไทยนั้น ผู้สนใจสามารถศึกษาได้จากหลักฐานที่เก็บรวบรวมไว้ด้วยงานเอกสาร หากมีดินแดนสักแห่งหนึ่งที่พร้อมบอกเล่าเรื่องราวด้วยกลุ่มคน สังคม บ้านเรือน ภูมิปัญญา ดั่งตำราเรียนที่ยังมีลมหายใจอยู่ ในความเป็นวิถีชีวิตของพี่น้องเผ่าไท ที่หมู่บ้านไทพาเกรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย คือสถานที่ดั่งที่กล่าวมาเป็นอีกที่หนึ่ง
บทเรียนทางประวัติศาสตร์อาจช่วยให้ผู้คนนำมาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของประเทศไทย มองย้อนจากปัจจุบันสู่เหตุการณ์ในยุคความรุ่งเรืองของอาณาจักรต่างๆแห่งชนเผ่าไทอันไกลโพ้น ตำนานที่กล่าวถึงอาณาจักรของกลุ่มชาติพันธุ์ไทมากมายที่รุ่งเรืองขึ้น แล้วเสื่อมสลายไปด้วยสาเหตุที่กล่าวไว้คล้ายๆกัน พงศาวดารหรือตำนานทางประวัติศาสตร์มักกล่าวถึงการรุกรานจากภายนอกประการหนึ่ง ประการที่มักกล่าวกันแต่เพียงผ่านไปแต่ไม่ลึกซึ้งนัก เมื่อมองในมุมมองของความสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ ความเสื่อมสลายที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยภายใน นั้นคือความขัดแย้งที่ไม่สามารถหาทางออกอื่นได้ นอกจากการใช้กำลังเข้าทำร้ายกันเอง ไทสยามหรือไทน้อยกับไทพาเกจึงเป็นดั่งพี่น้องที่พลัดพรากกันมา เพราะสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดจากความอ่อนแอของคนในครอบครัว พ่อแม่พี่น้องต่างกระจัดกระจายกัน เมื่อได้มาพบกันอีกครั้งความรู้สึกซาบซึ้งใจและอบอุ่นใจจึงเกิดขึ้น
การเดินทาง 10 วันในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย โดยโครงการสำรวจพืชสมุนไพรชาวไทพาเกของคณะมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ จังหวัดปราจีนบุรี คณะเดินทางรวม 5 ชีวิต มีหัวหน้าคณะคือ หมอต้อมหรือ ภญ.ดร.สุภาพร ปิติพร และคณะร่วมทางอีก 4 ท่านหมอนิตย์ นิตยา ภิญโญตระกูล ในฐานะคุณหมอช่างภาพรับเชิญ พี่วี วีระศักดิ์ จันทร์ส่องแสง นักเขียนสารคดี จากนิตยสารสารคดี คุณเหมียว เบญจวรรณ บุญเผือก หัวหน้าแผนกข้อมูลสาระสนเทศ และตัวผมเอง นวพล ลีนิน ซึ่งต้องขอขอบพระคุณสำหรับโอกาสในการเดินทางครั้งนี้ เพราะมันมากกว่าเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ จากสนามบินสุวรรณภูมิสู่กัลกัตต้า (k0lkata) ต่อเครื่องบิน อีกสองต่อไปสู่กูวาฮาตี(Guwahati)ซึ่งเป็นศูนย์กลางของรัฐอัสสัม ต่อไปยัง ดิบรูกาห์ (Dibrugarh) ก่อนเข้าสู่ดินแดนที่คล้ายกาลเวลาได้ชะลอความเป็นไทไว้ที่นั้น 10 วันแห่งการเดินทางมากพอที่ทำให้เห็นความสำคัญของคำว่าวัฒนธรรม ความเข้มแข็งของกลุ่มคนที่มีประชากรเพียงหลักพันอันน้อยนิด เมื่อเปรียบกับจำนวนประชากรเกือบ 30 ล้านคนในรัฐอัสสัม หรือกว่า 1พันล้านของในประเทศอินเดีย มิตรภาพอันอบอุ่นที่เราได้รับจากการต้อนรับในหมู่บ้านไทพาเกกว่า 5 หมู่บ้าน มันมากกว่าการเดินทางท่องเที่ยวพักนอนตามโรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยวโดยทั่วไป จากมุมเมืองอันคับคั่งด้วยผู้คนของอินเดีย เลี้ยวเข้าสู่หมู่ชนบท บ้านไม้ไผ่ยกพื้นผู้คน และการแต่งกายที่คล้ายชาวภาคเหนือหรือภาคอีสานของประเทศไทย สำเนียงคำพูดที่สามารถจับความได้ในบางคำ นั้นคือความประทับใจที่ผสมอยู่ด้วยความประหลาดใจว่านี้คือประเทศอินเดีย โอกาสที่ได้ดูงานแหล่งผลิตชาอันดับต้นๆของโลก คณะของเราได้เห็นมากกว่าดื่มชาต้อนรับ ด้วยการเดินเข้าไปชมในสวน เดินชมกระบวนการผลิตชาในโรงงาน ผู้คนที่ต้อนรับเราประหนึ่งญาติพี่น้อง คุณงี่ยอดและครอบครัวที่ให้การต้อนรับทั้งเรื่องที่พักและประสานงานการลงพื้นที่ พระปัญญาศิริในฉายาโฮรุภันเต(ภิกษุผู้ต่ำต้อย)และอีกหลายคน เรื่องราวการเดินทางพบเครือญาติพี่น้องไทพาเก กลุ่มคนที่รักษาความเป็นไทไว้ได้ในจำนวนเพียงหยิบมือ คือเรื่องราวหลังการเดินทางของผู้เขียน เพื่อใช้ประกอบรายงานนำเสนอมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ หรือจัดพิมพ์เผยแพร่ตามเห็นสมควร โดยโพสไว้ใน blogger Nawapol leenin เพื่อผู้สนใจติดตามอ่านได้ง่ายขึ้น
ความรู้สึกที่ดี
ผู้สละเวลามาให้การต้อนรับและร่วมขบวนไปพร้อมกับพวกเรา และสายน้ำพรหมบุตร
สายน้ำบุรีดิฮิง อันอยู่ไม่ไกลนักจากต้นธารแห่งธรรมชาติเชิงเขาหิมาลัย เรือกสวนไร่นา
วัดวาและหมู่บ้านที่ยังคงกลิ่นอายในอดีตกาลบนเส้นทางการอพยพของชนเผ่าไท คือไทพาเก
คือหนึ่งในเครือญาติไท.
นวพล ลีนิน
ผู้เขียน
นวพล ลีนิน
ผู้เขียน
บันทึกกำหนดการเดินทาง
22 มีนาคม 2557 ออกเดินทางจากเมืองปราจีนบุรีโดยรถตู้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ เช้ามืดเวลาตีสาม ถึงสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ 05.30 น. เครื่องบิน Flight 9W 65 ออกจากเมืองไทย 06.50 น. ถึงสนามนานาชาติสุภาส จันดราโพส (Subhas Chandra Bose) เมืองกัลกัตต้า (Kolkata)อินเดียใช้เวลา 2 ชม.ในการเดินทาง ต่อไปเครื่องบิน Flight 9W 2363 ไป สนามบินนานาชาติกอปีนาทบอร์โดลอย(Gopinath Bordoloi) เมืองกูฮาวาตี(Guwahati)ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.( 09.50 ถึง 11.05) ต่อเครื่องบิน Flight 9W 7079 ไปสนามบินโมฮันบาริ (Mohanbari) เมืองดิบรูกา(Dibrugath)ใช้เวลาประมาณ 55 นาที (12.40 น ถึง13.35 น) หมายเหตุ ช่วงเวลาสนามบินที่อินเดียใช้เวลาประเทศอินเดียซึ่งช้ากว่าเวลาประเทศไทย 1.30 ชม.
ออกเดินทางจากสนามบินไปบ้านของคุณงี่ยอดที่อำเภอนาฮากาเทียใช้เวลาประมาณ 1 เข้าหมู่บ้านนำพาเก พบหมอยาชาวบ้านส่วนหนึ่งมาต้อนรับ
22 มีนาคม 2557 ออกเดินทางจากเมืองปราจีนบุรีโดยรถตู้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ เช้ามืดเวลาตีสาม ถึงสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ 05.30 น. เครื่องบิน Flight 9W 65 ออกจากเมืองไทย 06.50 น. ถึงสนามนานาชาติสุภาส จันดราโพส (Subhas Chandra Bose) เมืองกัลกัตต้า (Kolkata)อินเดียใช้เวลา 2 ชม.ในการเดินทาง ต่อไปเครื่องบิน Flight 9W 2363 ไป สนามบินนานาชาติกอปีนาทบอร์โดลอย(Gopinath Bordoloi) เมืองกูฮาวาตี(Guwahati)ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.( 09.50 ถึง 11.05) ต่อเครื่องบิน Flight 9W 7079 ไปสนามบินโมฮันบาริ (Mohanbari) เมืองดิบรูกา(Dibrugath)ใช้เวลาประมาณ 55 นาที (12.40 น ถึง13.35 น) หมายเหตุ ช่วงเวลาสนามบินที่อินเดียใช้เวลาประเทศอินเดียซึ่งช้ากว่าเวลาประเทศไทย 1.30 ชม.
ออกเดินทางจากสนามบินไปบ้านของคุณงี่ยอดที่อำเภอนาฮากาเทียใช้เวลาประมาณ 1 เข้าหมู่บ้านนำพาเก พบหมอยาชาวบ้านส่วนหนึ่งมาต้อนรับ
23 มีนาคม 2557 ออกเดินทางจากที่พักไปหมู่บ้านนำพาเกโดยรถแวนแวะวัด
พบโฮรุพันเต ชมหนังสือที่วัดรับขวัญที่บ้านนำพาเก ไปวัดพบโฮรุ เดินไปบ้านที่ชายน้ำ
ชมพิพิธภัณฑ์น้อย
คณะส่วนหนึ่งไปจ่ายตลาดนาฮากาเตีย
24 มีนาคม 2557 เดินทางจากที่พักไปเยี่ยมวัด และโรงเรียน ของงี่ยอด เดินสำรวจสมุนไพรป่าพร้อมคณะหมอยาบ้านนำพาเกกลับมานอนพักที่บ้านคุณงี่ยอด
25 มีนาคม 2557 คณะเดินจากบ้านคุณงี่ยอดไปรับประทานอาหารเช้าบ้านอ้ายเซียง ชมหนังสือโบราญ ออกเดินทางไป หมู่บ้านทิบามพาเก เดินพบเครือข่ายทางธรรมโฮรุภันเต กลับมานอนบ้านงี่ยอด
คณะส่วนหนึ่งไปจ่ายตลาดนาฮากาเตีย
24 มีนาคม 2557 เดินทางจากที่พักไปเยี่ยมวัด และโรงเรียน ของงี่ยอด เดินสำรวจสมุนไพรป่าพร้อมคณะหมอยาบ้านนำพาเกกลับมานอนพักที่บ้านคุณงี่ยอด
25 มีนาคม 2557 คณะเดินจากบ้านคุณงี่ยอดไปรับประทานอาหารเช้าบ้านอ้ายเซียง ชมหนังสือโบราญ ออกเดินทางไป หมู่บ้านทิบามพาเก เดินพบเครือข่ายทางธรรมโฮรุภันเต กลับมานอนบ้านงี่ยอด
26 มีนาคม 2557 เดินทางไปบ้านบอร์พาเก และมันโมพาเก
นอนที่บ้านยายเยนาวมันโมพาเก
27 มีนาคม 2557 เดินสำรวจสมุนไพรทุ่งนาบ้านมันโม
เสร็จแล้วเดินทางต่อไปหมู่บ้านพานาง นอนบ้านพานาง
28 มีนาคม 2557
ลงพื้นที่สำรวจสมุนไพรหมู่บ้านพานาง พบชาวเนปาลี
พบชาวอาหมที่แต่งงานกับคนไทพาเก เดินทางกลับบ้านงี่ยอด ชาวบ้านเดินมาส่งที่ท่าน้ำ
29 มีนาคม 2557 ดูงานไร่ชาและโรงงานผลิตชา
ไปลงพื้นที่และกินข้าวบ้านพ่อแม่งี่ยอดนำพาเก ดูศิลปะการแสดงของเด็ก
แวะบ้านบังกะโลที่ริมน้ำ กลับมานอนบ้านคุณงี่ยอด
30 มีนาคม 2557 รับประทานอาหารเช้า พูดคุยและถ่ายภาพกับครอบครัวงี่ยอดเดินทางไปไปสนามบิน
แวะถ่ายภาพแม่น้ำพรหมบุตร ถึงสนามบินช่วงบ่าย เครื่องบิน Flight 9W 7080
จากสนามบินโมฮันบาริ (Mohanbari) เมืองดิบรูกา(Dibrugath)ไปสนามบินนานาชาติกอปีนาทบอร์โดลอย(Gopinath Bordoloi) เมืองกูฮาวาตี(Guwahati)ใช้เวลาประมาณ 55 นาที (14.00 ถึง 14.55 น.) ต่อเครื่องบิน Flight 9w 2364 ไปสนามนานาชาติสุภาส จันดราโพส (Subhas Chandra Bose)
เมืองกัลกัตต้า (Kolkata) .ใช้เวลาประมาณ
1 ชม. (15.50 ถึง 17.05) รอต่อเครื่อง Flight 9W616 (เครื่องเสียเวลา)
เดินทางกลับถึงประเทศไทยในช่วงเช้า และเดินทางต่อด้วยรถตู้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศถึงที่พักจังหวัดปราจีนโดยสวัสดิภาพ
__________________________________________________